ฮั่นเหวินตี้...ความภูมิใจของชาวจีนจนเรียกตัวเองว่า ชาวฮั่น
(ภาพประกอบ จากซีรี่ย์)
ในบรรดาราชวงศ์จีนที่ปกครองประเทศจีนอดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึง ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ซึ่งปกครองประเทศต่อจากราชวงศ์ฉิน ที่ก่อตั้งโดย จิ๋นซีฮ่องเต้ ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกเริ่มตั้งแต่ปี 206 ก่อนคริสต์ศักราช จนถึง ค.ศ. 8 หากจะนับรวม ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เข้าไปด้วย ราชวงศ์ฮั่น กินเวลาปกครองประเทศจีนถึง 426 ปี ก่อนที่จะเข้าสู่ยุคสามก๊กที่คนไทยรู้จักกันดี
แต่เมื่อเอ่ยถึงราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ส่วนใหญ่ทุกคนจะรู้จัก ฮั่นเกาจูฮ่องเต้ หรือ หลิวปัง ผู้ก่อตั้ง ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก โดยเอาชนะฌ้อปาอ๋อง หรือ ฉู่ปาหวาง อย่างเด็ดขาดก่อนสถาปนาราชวงศ์ฮั่น หรือไม่ก็ ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ หรือ หลิวเช่อ ผู้ขยายดินแดนและสร้างเกียรติยศและชื่อเสียงให้แก่ราชวงศ์ฮั่น แต่ในบรรดาชาวจีนฮ่องเต้ผู้ซึ่งได้วางรากฐานของบ้านเมืองและระงับวิกฤติการณ์สิ้นราชวงศ์เอาไว้ก่อนที่จะส่งถ่ายอำนาจ จนไปสู่ ฮั่นอู่ตี้ คือฮ่องเต้ที่ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งของประเทศจีน ซึ่งมีพระนามว่า ฮั่นเหวินตี้
ฮั่นเหวินตี้ มีนามเดิมว่า หลิวเหิง เป็นโอรสของหลิวปังที่รอดพ้นการช่วงชิงอำนาจจาก ตระกูลหลิว และ ตระกูลหลี่ ของพระนางลิฮองเฮา ซึ่งได้เลื่อนยศเป็นพระนางหลี่ไทเฮา หลังจากพระเจ้าฮั่นเกาจู หรือ หลิวปัง สวรรคต พระนางได้กุมอำนาจสูงสุดจากฮั่นฮุ่ยตี้โอรสองค์เดียวของพระองค์ที่ขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อจาก หลิวปัง จากนั้น หลี่ไทเฮา ได้กวาดล้างบรรดาสนมของ ฮั่นเกาจู รวมไปถึงโอรสที่เกิดจากนางสนมเหล่านั้น แม้ว่า ฮั่นฮุ่ยตี้ จะพยายามปกป้องอนุชาต่างมารดาของพระองค์ แต่ไม่สามารถขัดขวางพระมารดาได้ ทำให้ฮั่นฮุ่ยตี้หมดอาลัยตายอยาก ยกอำนาจให้ไทเฮาและหันตัวเองไปหาสุรา ไม่นานฮั่นฮุ่ยตี้ก็เสด็จตามฮั่นเกาจู ไปอีก หลี่ไทเฮาจึงแต่งตั้งฮ่องเต้หุ่นเชิดถึง 2 องค์ ก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ ซึ่งยุคสมัยการครองอำนาจของหลี่ไทเฮานั้น คนแซ่หลิวถูกล้างบางไปมาก ส่วนคนแซ่หลี่กลับได้ขึ้นมานั่งตำแหน่งสำคัญต่างๆ รวมไปถึงตำแหน่งอ๋องด้วย
หลิวเหิง รอดพ้นคมดาบของ หลี่ไทเฮาไปได้ เพราะสนมโป๋ซึ่งเป็นพระมารดาของพระองค์ไม่เป็นสนมที่ฮั่นเกาจูทรงโปรดมากนัก และในปี 196 ก่อนค.ศ.ฮั่นเกาจูได้โปรดให้หลิวเหิง ไปเป็นอ๋องครองเมืองไต ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ชายแดนสุดและเล็กที่สุดในบรรดาเมืองที่องค์ชายต่างๆไปครองเมือง แต่นั่นก็กลับเป็นผลดีต่อชีวิตของหลิวเหิงเอง
ครั้งหนึ่งที่หลี่ไทเฮาลองใจให้หลิวเหิงไปครองเมืองจ้าวซึ่งใหญ่กว่าเดิมแต่หลิวเหิงรีบปฏิเสธว่าสุขภาพไม่ค่อยดี อยากอยู่ในเมืองชนบทนี้มากกว่า เลยรอดจากการถูกกำจัด
ต่อมาในปี 180 ก่อนค.ศ.พระนางหลี่ไทเฮาสิ้นพระชนม์ โจวป๋อซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งราชวงศ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงทำการยึดอำนาจจากตระกูลหลี่ที่กำลังยุ่งกับพิธีศพ หลี่ไทเฮา และได้ถอนรากคนตระกูลหลี่ไปหลายร้อยชีวิต ก่อนที่จะไปอัญเชิญโอรสของฮั่นเกาจูที่ยังเหลือรอดมานั่งบัลลังก์ โดยคัดเลือกไปตกที่ หลิวเหิง แรกเริ่มนั้นหลิวเหิงก็ไม่ค่อยไว้ใจคณะของโจวป๋อ แต่โจวป๋อก็พยายามแสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ภายหลังขึ้นครองราชย์แล้วหลิวเหิงได้มีพระราชสมัญญาว่า พระเจ้าฮั่นเซี่ยวเหวินตี้ เรียกสั้นๆว่า ฮั่นเหวินตี้ และบ้านเมืองก็เข้าสู่ความสงบสุชอีกครั้ง
ฮั่นเหวินตี้ ได้เป็นผู้เปิดศักราชใหม่ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของยุคทองราชวงศ์ฮั่น ฮ่องเต้องค์ใหม่นี้เป็นผู้มีสายพระเนตรยาวไกลและพระทัยหนักแน่น ทรงรู้จักการบริหารและเลือกใช้บุคลากรเป็นอย่างดี ด้วยความที่เคยมีชีวิตยากลำบากมาก่อนและได้เห็นชีวิตของราษฎรตามชายแดนที่ลำบากแร้นแค้น เสาหลักค้ำแผ่นดินในช่วงเริ่มต้นรัชกาลนี้ก็คือบรรดาแม่ทัพนายกองสมัยร่วมก่อตั้งราชวงศ์ อันได้แก่ โจวป๋อ เฉินผิง กวนยิง จางชาง ซินถูเจีย ซึ่งเป็นพวกถนัดบู๊มากกว่าบุ๋น ฮั่นเหวินตี้จึงพยายามถ่ายโอนอำนาจใหม่มาให้คนหนุ่มไฟแรงที่มีความรู้ความสามารถด้านการบริหารอย่างแท้จริง
แผ่นดินจีนไม่เคยสงบเลยนับจากสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ที่ปกครองเผด็จการสุดๆ ต่อมาก็ฉินเอ้อซื่อที่ขูดรีดยิ่งกว่าองค์พระบิดา ช่วงฌ้อปาอ๋องก็ปกครองด้วยเผด็จการแบบจิ๋นซีฮ่องเต้ ถัดมาฮั่นเกาจู ก็ต้องยุ่งกับการขจัดหอกข้างแคร่ต่างๆ ตลอด 12 ปีของรัชกาล ยิ่งสมัยการใช้ความโหดเหี้ยมของหลี่ไทเฮา ฮั่นเหวินตี้ต้องมาแบกรับภาระต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความอดอยาก ความยากจนของราษฎร ปัญหาความสงบภายใน ทั้งปัญหาการรุกรานจากอนารยชนโดยเฉพาะพวกซ่งหนู บทเรียนจากการใช้พระเดชมาปกครองจนราษฎรเดือดร้อนตามๆกัน ทำให้ฮั่นเหวินตี้หันมาใช้พระคุณปกครองมากขึ้นโดยทำการอภัยโทษแก่ผู้คนทั้งหลายเพื่อสร้างความสงบสุขและความสามัคคีแก่คนในชาติ รวมไปถึงตระกูลหลี่ด้วย ทำให้ตระกูลหลี่ยังเหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน
พระองค์แก้ไขปัญหาการเข่นฆ่าโดยคนตระกูลเดียวกันโดยการตั้งรัชทายาทตั้งแต่เสวยราชย์ได้เพียงสองเดือน ทรงตั้งหลิวฉีโอรสองค์ที่สองที่เกิดกับโต้วฮูหยิน ตั้งแต่ครั้งครองเมืองไต และตั้งให้เป็นโต้วฮองเฮา ปัญหาเรื่องพระญาติที่คอยแก่งแย่งช่วงชิงอำนาจกัน พระองค์แก้โดยไม่ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ ยกเว้นว่ามีความสามารถจริงๆ ทรงแก้ปัญหาการสร้างอิทธิพลของอ๋องต่างๆ โดยการให้ย้ายถิ่นที่อยู่บ่อยๆ ไม่ให้ปักหลักที่ใดที่หนึ่งนานๆ อีกทั้งแบ่งเมืองใหญ่ให้กลายเป็นเมืองเล็กๆ เช่น เมืองฉีก็ถูแบ่งเป็นเมืองเล็กๆหกเมือง เป็นต้น
ด้านการปกครอง ฮั่นเหวินตี้ยังทรงยกเลิกการลงโทษโดยการทารุณกรรมร่างกาย และการลงโทษเครือญาติของผู้ต้องโทษ รวมทั้งราชทัณฑ์หลายอย่างอาทิเช่น การสักหน้าผาก เฉือนจมูก ตัดข้อเท้า แต่หันไปใช้การลงโทษทีเบาลงมาโดยการให้ไปทำงานหนัก และโบยตีให้หลาบจำแทน ประวัติศาสตร์บันทึกเอาไว้ว่ารัชสมัยของฮั่นเหวินตี้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข ตามคุกต่างๆมีนักโทษน้อยมาก เพราะมีการให้ใช้การจ่ายค่าปรับแทนการขังคุก ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาพระคลังว่างเปล่าด้วย อีกทั้งยังยกเลิกกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สมัยก่อนผู้ใดตำหนิหรือสร้างข่าวลือ ต้องโทษตายสถานเดียว เพราะทรงเห็นว่า “ตราบใดที่ยังมีกฎหมายนี้ ผู้ใดเล่าจะอาจหาญพูดออกมา หากแม้นองค์จักรพรรดิเองกระทำผิด เมื่อไม่มีคำวิพากษ์วิจารณ์ จะรู้ว่าผิดได้อย่างไร”
ด้านเศรษฐกิจ ในปี 178 ก่อนค.ศ.เจียอี้ได้ถวายฎีกาทูลเสนอให้พัฒนาผลผลิตทางการเกษตรและดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเข้มงวด ฮั่นเหวินตี้จึงทรงโปรดให้ปฏิบัติตามแผนรัดเข็มขัด และเร่งพัฒนาประเทศ โดยการลดภาษีจากหนึ่งต่อสิบห้าส่วน(ร้อยละ6.6) จากสมัยฮั่นเกาจู มาเป็นหนึ่งต่อสามสิบส่วน(ร้อยละ3) และละเว้นภาษีสำหรับการเกษตรเป็นเวลาสิบสองปี มาตรการเหล่านี้ได้ช่วยส่งเสริมให้เศรษฐกิจพัฒนามากขึ้น นอกจากนี้พระองค์ยังทรงโปรดเสด็จไปทำนาร่วมกับประชาชนอย่างใกล้ชิด ส่วนโต้วฮองเฮาก็เสด็จไปร่วมปลูกหม่อนเลี้ยงไหมสอนแม่บ้านให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
ด้านการป้องกันประเทศ กำหนดให้ครอบครัวใดที่เลี้ยงม้าไว้สามตัวจะได้รับการยกเว้นภาษีและไม่ถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน โดยมีข้อแม้ว่าถ้าเกิดสงคราม ครอบครัวนั้นก็ต้องสละม้าไปใช้ในสงคราม จำนวนม้าสมัยนั้นจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่วนด้านชายแดนทรงแก้ปัญหาโดยการย้ายบรรดานักโทษประหารไปประจำที่นั่น และได้ให้เครื่องมือทำกิน
อดีตนักโทษหลายคนจึงได้กลายเป็นนักพัฒนาชายแดน พร้อมตั้งตนในดินแดนที่ไม่มีใครรังเกียจ ส่วนพวกที่หันไปเป็นทหารรักษาชายแดนก็มีโอกาสแก้ตัวในการสร้างความชอบกลับมาสู่สังคมเยี่ยงวีรบุรุษ ลูกหลานก็พลอยได้เกียรติในฐานะวีรบุรุษ ไม่ใช่ในฐานะนักโทษ อีกประการที่สำคัญก็คือบรรดาญาติๆก็มักเห็นใจส่งเครื่องอุปโภคบริโภคมาให้พวกที่อยู่ชายแดนเป็นการช่วยผ่อนภาระของทางการได้
ด้านความประพฤติส่วนพระองค์ ทรงเป็นผู้สมถะอย่างแท้จริง ฉลองพระองค์เป็นผ้าไหมสีดำสนิท ไม่มีการปักเย็บลวดลายใดๆ ผ้าม่านของพระสนมคนโปรดก็เป็นเพียงผ้าสีพื้นๆไม่มีลาย มีตำนานเล่าว่ามีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งรวมเงินกันซื้อม้าชั้นเยี่ยมวิ่งได้พันลี้ต่อวันไปถวาย พระองค์ตรัสว่า“อาชาวิ่งได้พันลี้จะมีประโยชน์อย่างไร ในเมื่อฮ่องเต้เวลาเสด็จไปที่ไหนก็ต้องมีขบวนพยุหยาตราจำนวนมาก ทำให้เราเดินทางได้อย่างมากเพียงสามสิบลี้ในหนึ่งวัน” จากนั้นก็รับสั่งให้พวกเขานำม้ากลับไป พร้อมมอบเงินให้เป็นค่าเดินทาง และสั่งห้ามไม่ให้ขุนนาง หรือประชาชนนำของขวัญมาถวาย สำหรับศาลเจ้าประจำพระองค์ก็สร้างไว้ทางตอนใต้ของฉางอัน ชื่อว่า “กู้เฉิน”แปลว่า แค่เหลียวมองก็เสร็จแล้ว หมายความว่าเรียบง่ายไม่มีการก่อสร้างอย่างใหญ่โตเหมือนศาลเจ้าของรัชกาลอื่นๆ
ต่อมาในปี 157ก่อนค.ศ. ฮั่นเหวินตี้ ทรงประชวรหนัก จึงมีพระบรมราชโองการว่า ในงานพิธีศพพระองค์ ห้ามมิให้ใช้รถม้าและกองเกียรติยศเลย และสายคาดสีขาวสำหรับไว้อาลัยก็มิให้กว้างเกินสามนิ้ว การจัดงานทำเพียงสามวันก็พอแล้วให้ทุกคนปลดทุกข์ทันที และไม่ห้ามประชาชนจัดงานมงคลเหมือนในสมัยอื่นๆ หลุมพระศพก็ให้อิงเนินเขาธรรมชาติ เพื่อมิให้ต้องมาเกณฑ์คนขุดเนินให้เปลืองแรงงาน นางสนมกำนัลขั้นฮูหยินลงไป ใครสมัครใจกลับไปอยู่บ้านบิดามารดาก็ได้ ไม่ต้องครองตัวเป็นม่ายเพื่อพระองค์
ยามที่พระองค์ประชวรหนักอยู่บนแท่นบรรทม รัชทายาทหลิวฉี ตรัสถามว่า “ถ้าเสด็จพ่อจากเราไป ต่อไปเราจะทำอย่างไร” ฮั่นเหวินตี้ ทรงตอบว่า “หากเกิดกบฏขึ้น เจ้าจงแต่งตั้งโจวหย่าฟุ บุตรชายของโจวป๋อ เป็นแม่ทัพ แล้วเจ้าจักวางใจได้” หลังจากนั้นไม่กี่วันพระองค์ก็เสด็จสวรรคต ในขณะมีพระชนมายุเพียง 45 ชันษา ครองราชย์ได้ 23 ปี ในรัชสมัยของพระองค์ ประชาชนทั่วประเทศเริ่มมีความมั่นใจ ศรัทธา และยอมรับว่าชีวิตของพวกเขาเริ่มมีความหวังมากขึ้นภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮั่น ทำให้การเรียกตนเองว่าชาวฮั่น ก็เกิดจากในรัชกาลนี้นั่นเอง
ฮั่นเหวินตี้ เป็นฮ่องเต้ที่นำเอาปรัชญาเต๋า มาใช้ในการปกครองประเทศ เกิดเป็นการปกครองแบบ “อู๋เหว่ย” (无为之治)ผมคิดว่า ฮ่องเต้องค์นี้เข้าถึงปรัซญาเศรษฐกิจพอเพียง การปกครองโดยดูเหมือนไม่ปกครอง เป็นยุครุ่งเรืองยุคหนึ่งของราชวงศ์ฮั่น แต่ต่อมาได้ได้มีการปรับเอาลัทธิหยูซึ่งมีพื้นฐานมาจากปรัชญาขงจื้อมาบริหารประเทศในรัชกาลต่อมา กลายเป็นยุครุ่งเรืองสูงสุดของราชวงศืฮั่นตะวันตกในสมัย ฮั่นอู่ตี้ หลานของฮั่นเหวินตี้ จากนั้นราชวงศ์นี้ก็เสื่อมลงมาเรื่อยๆ จนสู่ยุคสามก๊ก
ที่คัดลอกและเรียบเรียงมาให้อ่านเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ของบ้านเมืองในประเทศไทย ที่ผู้คนกำลังแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย โดยไม่ระลึกถึงบ้านเมืองเราแสนสงบร่มเย็น เอาเรื่องนี้มาให้อ่านเพื่อให้ทราบว่า ผู้นำดีๆนั้นเป็นอย่างไร และผู้นำดีๆยังมีอยู่ในโลก
ขอบคุณเรื่องราวดีๆ จาก
www.oknation.net
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น